โครงการการประชุมวิชาการประจำปี ๒๕๖๔
การประชุมวิชาการ FERCIT และ เครือข่ายเพื่อพัฒนางานวิจัยในประเทศไทย ประจำปี 2564
เรื่อง “Human Research Ethics in a New and Challenging Era”
ในรูปแบบ Hybrid Conference (Onsite & Online)
จัดโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ ชมรมจริยธรรมการวิจัยในคนในประเทศไทย
และคณะอนุกรรมการส่งเสริมพัฒนาและขับเคลื่อนงานวิจัย กรมแพทย์ทหารบก (พบ.)
วันที่ 18 – 20 สิงหาคม 2564
ห้องประชุม มงกุฎเวช ชั้น 4 อาคารพระมงกุฎเกล้าเวชวิทยา
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
โดยการอบรมรูปแบบ Hybrid Conference (Onsite & Online)
หลักการและเหตุผล
ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าความเจริญก้าวหน้าของศาสตร์สาขาต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์เกิดจากงานวิจัยและส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการทำวิจัยในคน ความสนใจทาง วัตถุประสงค์ในการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคนเพื่อให้เข้าใจสาเหตุพยาธิกำเนิดของโรค ศึกษาความชุก อุบัติการณ์ พัฒนาการป้องกัน การวินิจฉัย กระบวนการรักษา การพัฒนาคุณภาพ การรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น นอกจากนี้การทำวิจัยด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับคน แม้ว่าไม่มีการใช้สิ่งแทรกแซงที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่ออาสาสมัคร แต่การศึกษาวิจัยโดยใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ หรือการสำรวจก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงหรือผลกระทบต่ออาสาสมัครทางด้านเศรษฐกิจ สังคม จิตใจ อาจก่อให้เกิด ตราบาปต่ออาสาสมัครหรือชุมชนได้
การทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคนต้องยึดถือเอาความอยู่ดีมีความสุขและความปลอดภัยของอาสาสมัครเป็นสิ่งสำคัญก่อน ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับอาสาสมัครในโครงการวิจัยเป็นภาระที่ผู้วิจัยต้องรับผิดชอบโดยตรง ผู้ทำการวิจัยจะต้องปกป้องชีวิต สุขภาพ ความเป็นส่วนตัวและความมีศักดิ์ของอาสาสมัคร ดังนั้นผู้วิจัยจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานเป็นอย่างดีเกี่ยวกับเรื่อง การปกป้องอาสาสมัคร ( human subject protection)
นอกเหนือจากนั้น ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนายาใหม่ในหลายชนิดและในหลายรูปแบบในการรักษาโรค ทั้งนี้งานวิจัยเหล่านี้ที่ผ่านการศึกษาทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยาในสัตว์ทดลองจนมีข้อมูลแสดงประสิทธิภาพ (Efficacy) และความปลอดภัย (Safety) ในระดับก่อนคลินิกแล้ว จำเป็นจะต้องนำมาศึกษาต่อในมนุษย์ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อพิสูจน์ และยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยในมนุษย์ก่อนที่สารนั้นจะได้รับการพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นยาใหม่ ระยะเวลาที่ใช้วิจัยและพัฒนายาใหม่จะประมาณ 3 -15 ปี ทำให้ยาใหม่มีสิทธิบัตรคุ้มครองเมื่อออกสู่ตลาดเหลือระยะเวลาสั้น บริษัทที่ทำวิจัยและพัฒนายาซึ่งอยู่ในประเทศพัฒนาแล้วทั้งสหรัฐฯ และยุโรป จึงมีแนวโน้มที่จะทำการศึกษาทดลองทางคลินิก (clinical trial) นอกประเทศของผู้พัฒนายา เพราะมีอาสาสมัครและผู้ป่วยจำนวนมาก การศึกษาจะเสร็จเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าทำการศึกษาในเทศของผู้พัฒนายาเอง ปัจจุบันจึงมีการศึกษาวิจัยทางคลินิกในประเทศไทยเพิ่มขึ้น และจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตเพราะประเทศไทยมีปัจจัยและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวยต่อการศึกษาวิจัยทางคลินิก หากมีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาวิจัยทางคลินิกให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล “Good Clinical Practice (GCP)” ที่ให้ความสำคัญอย่างมากกับการคุ้มครองความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของอาสาสมัคร